ความหมายของอินเตอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ต
(Internet) เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลขององค์กรธุรกิจ
หน่อยงานของรัฐบาล สถานศึกษา ตลอดจนเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์เหล่านี้สามารถเข้าถึงได้จากคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่น
ๆ จากที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน สำนักงาน โรงเรียน ชายทะเล หรือร้านอาหารทั่วโลก
ในปัจจุบันมีคนจากทั่วโลกนับพันล้านคนที่เข้าถึงบริการบนอินเตอร์เน็ต เช่น เวิลด์ไวด์เว็บ (www.) อีเมล์ (e-mail) พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-commerce)
ห้องคุย(chat room)การส่งการทันที (Instant messaging) และวอยซ์โอเวอร์ไอพีหรือ
วีโอไอพี โดยอินเทอร์เน็ตจะมีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ
ห้องคุย(chat room)การส่งการทันที (Instant messaging) และวอยซ์โอเวอร์ไอพีหรือ
วีโอไอพี โดยอินเทอร์เน็ตจะมีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ
โครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ต
ประกอบด้วยเครือข่ายระดับท้องถิ่น
ระดับภูมิภาคระดับชาติ และระดับนานาชาติที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ดังรูป อินเทอร์เน็ตเชื่อมโยงข้อมูลจากเครือข่ายคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังเครือข่ายอื่นด้วยความเร็วและคุณภาพที่แตกต่างกัน
ขึ้นอยู่กับรูปแบบการสื่อสาร และสื่อที่ใช้ในการเชื่อมโยงเครือข่าย เช่น
สายโทรศัพท์ สายไฟเบอร์ออปติกและคลื่นวิทยุ
ถึงแม้ในปัจจุบันพื้นที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อินเทอร์เน็ตก็ยังเป็นเครือข่ายสาธารณะที่ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ
หน่วยงานทั้งของรัฐและเอกชนมีหน้าที่ในการดูแล และจัดการจราจรข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตในเฉพาะเครือข่ายที่รับผิดชอบ
การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
ผู้ใช้ที่เป็นคนทำงาน นักเรียนหรือนักศึกษา
มักจะเข้าถึงอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง
ขณะที่ผู้ใช้ทั่วไปใช้วิธีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตโดยใช้โมเด็มผ่านสายโทรศัพท์ ที่ซึ่งเป็นอินเตอร์เน็ตในความเร็วต่ำ หรือเชื่อมต่อจากบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ต (broadband internet connection) เช่น เอดีเอสแอล (Asymmetric Digital Line: ADSL) เคเบิลโมเด็มที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายเคเบิลทีวี หรือเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบไร้สาย เช่น ไวไฟ หรืออินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียม
ขณะที่ผู้ใช้ทั่วไปใช้วิธีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตโดยใช้โมเด็มผ่านสายโทรศัพท์ ที่ซึ่งเป็นอินเตอร์เน็ตในความเร็วต่ำ หรือเชื่อมต่อจากบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ต (broadband internet connection) เช่น เอดีเอสแอล (Asymmetric Digital Line: ADSL) เคเบิลโมเด็มที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายเคเบิลทีวี หรือเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบไร้สาย เช่น ไวไฟ หรืออินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียม
สถานที่สาธารณะหลายแห่ง เช่น โรงเรียน
มหาวิทยาลัย สนามบิน ห้างสรรพสินค้า โรงแรม มักจะมีบริการอินเตอร์เน็ตมีสายและไร้สาย
เพื่อให้ผู้ใช้อุปกรณ์ และ พกพาสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้สะดวก
-ผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ต หรือ
ไอเอสพี (Internet Service Provider :
ISP) ให้บริการการเชื่อมต่อเข้าสู่อินเตอร์เน็ตสำหรับผู้ใช้
โดยอาจคิดค่าบริการเป็นรายเดือน บริษัทที่ให้บริการอินเตอร์เน็ต
ในประเทศไทย เช่น ทีโอที ซีเอส ล็อกช์อินโฟ กสท.
โทรคมนาคม ทีทีแอนด์ที และ สามารถเทลคอม นอกจากนี้ ไอเอสพี ยังให้บริการเสริมอื่น
เช่น อีเมล เว็บเพจ พื้นที่จัดเก็บข้อมูล
หรือโทรศัพท์ระหว่างประเทศ ตัวอย่างการเข้าสู่บริการอินเตอร์เน็ตโดยผ่านผู้ให้บริการ
การติดต่อสื่อสารบนอินเตอร์เน็ต
คอมพิวเตอร์ที่ติดต่อสื่อสารระหว่างกันบนอินเทอร์เน็ต มีคุณลักษณะที่แตกต่างกัน เช่น ประเภทของคอมพิวเตอร์ ซีพียู หรือระบบปฏิบัติการนอกจากนี้รูปแบบการเชื่อมโยง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เข้าสู่อินเทอร์เน็ตไม่จะเป็นแลนหรือแวนก็อาจมีรูปแบบที่แตกต่างกัน การที่อินเทอร์เน็ตสามารถเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ที่มีความแตกต่างกันให้สามารถทำงานร่วมกันได้ เนื่องจากใช้โพรโทคอลเดียวกันในกันสื่อสารที่เรียกว่า ทีซีพี/ไอที(Transmission Control Protocol/Internet Protocol: TCP/IP )
คอมพิวเตอร์ที่ติดต่อสื่อสารระหว่างกันบนอินเทอร์เน็ต มีคุณลักษณะที่แตกต่างกัน เช่น ประเภทของคอมพิวเตอร์ ซีพียู หรือระบบปฏิบัติการนอกจากนี้รูปแบบการเชื่อมโยง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เข้าสู่อินเทอร์เน็ตไม่จะเป็นแลนหรือแวนก็อาจมีรูปแบบที่แตกต่างกัน การที่อินเทอร์เน็ตสามารถเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ที่มีความแตกต่างกันให้สามารถทำงานร่วมกันได้ เนื่องจากใช้โพรโทคอลเดียวกันในกันสื่อสารที่เรียกว่า ทีซีพี/ไอที(Transmission Control Protocol/Internet Protocol: TCP/IP )
เลขที่อยู่ไอพี
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงกันอยู่บนอินเทอร์เน็ต
จะมีหลายเลขอ้างอิงในการติดต่อสื่อสารเรียกว่า เลขที่อยู่ไอพีแอดเดรส (IP
address) ซึ่งจะต้องไม่ซ้ำกันเลย โดยไอพีแอดเดรสประกอบด้วยเลข 4 ชุด
ซึ่งแยกกันด้วยเครื่องหมายจุด เช่น 202.29.77.155
ซึ่งเป็นไอพีแอดเดรสของเว็บไซต์สถานบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(สสวท.)
ระบบชื่อโดเมน
เนื่องจากเลขที่อยู่ไอพีอยู่รูปแบบของชุดตัวเลขซึ่งยากต่อการจดจำและอ้างอิงระหว่างในการใช้งานดังนั้นจึงกำหนดให้มีระบบชื่อโดเมน
(Domain Name System: DNS) ซึ่งแปลงเลขที่อยู่ไอพีให้เป็นชื่อโดเมนที่อยู่ในรูปแบบของชื่อย่อภาษาอังกฤษหลายส่วนคั่นด้วยเครื่องหมายจุด
เช่น www.ipst.ac.th ผู้ใช้สามารถจดทะเบียนชื่อโดเมนสำหรับคอมพิวเตอร์ของตนผ่านผู้ให้บริการจดทะเบียนชื่อโดเมนที่ได้รับอนุญาต
ตัวอย่างระบบชื่อโดเมน
ส่วนประกอบสุดท้ายในชื่อโดเมนเรียกว่า
ชื่อโดเมนระดับบนสุด (top-level domain name)
ใช้สำหรับแยกกลุ่มของชื่อโดเมน ในกรณีที่ชื่อโดเมนระดับบนสุดเป็นชื่อโดเมนสากล
เวิลด์ไวด์เว็บ
เวิลด์ไวด์เว็บ (world
wide web) หรือเรียกสั้นๆว่า เว็บ
เป็นการให้บริการข้อมูลแบบไฮเปอร์เท็กซ์ (hypertext)
ที่ประกอบไปด้วยเอกสารจำนวนมากที่มีการเชื่อมโยงกัน ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ที่ผู่ใช้อินเตอร์เน็ตสามารถเข้าถึง โพรโทคอลที่เรียกว่าเอชทีทีพี (Hypertext Transfer Protocol: HTTP) นอกจากนี้เวิลด์ไวด์เว็บคอนเซอร์เทียม ได้นิยามคำว่า เว็บ คือ จักรวาลของสารสนเทศที่สามารถเข้าถึงได้ผ่านเครือข่าย และทำให้เกิดองค์ความรู้แก่มนุษยชาติ สำหรับคำที่เกี่ยวข้องกับเวิลด์ไวด์เว็บที่ควรทราบ เช่น
ที่ประกอบไปด้วยเอกสารจำนวนมากที่มีการเชื่อมโยงกัน ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ที่ผู่ใช้อินเตอร์เน็ตสามารถเข้าถึง โพรโทคอลที่เรียกว่าเอชทีทีพี (Hypertext Transfer Protocol: HTTP) นอกจากนี้เวิลด์ไวด์เว็บคอนเซอร์เทียม ได้นิยามคำว่า เว็บ คือ จักรวาลของสารสนเทศที่สามารถเข้าถึงได้ผ่านเครือข่าย และทำให้เกิดองค์ความรู้แก่มนุษยชาติ สำหรับคำที่เกี่ยวข้องกับเวิลด์ไวด์เว็บที่ควรทราบ เช่น
- เว็บเพจ
(web
page) เป็นหน้าเอกสารที่เขียนขึ้นในรูปแบบภาษาเอชทีเอ็มแอล
(Hypertext markup language: HTML) ซึ่งสามารถเชื่อมโยงไปยังเอกสารหน้าอื่นได้
โดยเรียกดูผ่านเว็บเบราว์เซอร์
-เว็บไซต์ (web site) เป็นกลุ่มของเว็บเพจที่มีความเกี่ยวข้องกัน ปละอยู่ภายใต้ชื่อโดเมนเดียวกัน
-เว็บเซิร์ฟเวอร์ (web
server) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการเว็บเพจ
เมื่อผู้ใช้ร้องขอเว็บเพจผ่านเว็บเบราว์เซอร์ โดยใช้ยูอาร์แอล (Uniform
Resource Locator : URL ) ระบุตำแหน่งของเว็บเพจ
เว็บเซิร์ฟเวอร์จะว่งเว็บเพจที่ค้นหาได้กลับไปแสดงผลผ่านเว็บ เบราว์เซอร์ของผู้ใช้
การเรียกดูเว็บ เว็บเบราว์เซอร์ (Web browser)
เป็นโปรแกรมใช้สำหรับแสดงเว็บเพจ และสามารถเชื่อมโยงไปยังส่วนอื่นในเว็บเพจเดียวกันหรือเว็บเพจอื่นผ่านการเชื่อมโยงหลายมิติ หรือไฮเปอร์ลิงค์ (hyperlink) เรียกสั้นๆว่า ลิงค์ (link) เว็บเบราว์เซอร์ช่วยเพิ่มความน่าสนใจในการใช้งานอินเตอร์เน็ต นอกเหนือไปจากการสื่อสารหรือการแลกเปลี่ยนไฟล์ระหว่างเครือข่าย ตัวอย่างเว็บเบราว์เซอร์ เช่น Mozilla Firefox, Microsoft Internet Explorer, Apple Safari, Google Chrome และ Opera
เป็นโปรแกรมใช้สำหรับแสดงเว็บเพจ และสามารถเชื่อมโยงไปยังส่วนอื่นในเว็บเพจเดียวกันหรือเว็บเพจอื่นผ่านการเชื่อมโยงหลายมิติ หรือไฮเปอร์ลิงค์ (hyperlink) เรียกสั้นๆว่า ลิงค์ (link) เว็บเบราว์เซอร์ช่วยเพิ่มความน่าสนใจในการใช้งานอินเตอร์เน็ต นอกเหนือไปจากการสื่อสารหรือการแลกเปลี่ยนไฟล์ระหว่างเครือข่าย ตัวอย่างเว็บเบราว์เซอร์ เช่น Mozilla Firefox, Microsoft Internet Explorer, Apple Safari, Google Chrome และ Opera
ที่อยู่เว็บ
ในการอ้างอิงตำแหน่งของแหล่งข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตที่ผู้ใช้ร้องขอ
เช่น เว็บเพจ สามารถทำได้โดยการระบุยูอาร์แอล (Uniform Resource
Locator : URL)
ซึ่งมีแบบดังนี้
-โพรโทคอล ใช้สำหรับระบุมาตรฐานที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านเว็บ เช่น เอชทีทีพี
ลและเอฟทีฟี (File transfer protocol: FTP)
ในกรณีของเชอทีทีพี ส่วนใหญ่แล้วผู้ใช้สามารถจะละส่วนของโพรโทคอลนี้ได้
เนื่องจากถ้าไม่รระบุโพรโทคอล
เว็บเบราว์เซอร์จะเข้าใจว่าผู้ใช้มีความประสงค์จะใช้โพรโทคอล
เอชทีทีพีเพื่อเข้าถึงเว็บเพจ
เส้นทางเข้าถึงไฟล์
(path) ใช้สำหรับระบุตำแหน่งของไฟล์จากเว็บเซิร์ฟเวอร์
-ชื่อข้อมูล ชื่อไฟล์ที่ร้องขอ
เช่น ไฟล์ไฮเปอร์เท็กซ์ ไฟล์รูปภาพ ไฟล์วีดิทัศน์ ไฟล์เสียง
ในกรณีที่ยูอาร์แอลระบุเฉพาะชื่อโดเมนโดยไม่ได้ใช้ระบุเส้นทางเข้าถึงไฟล์
และ/หรือชื่อไฟล์มีความหมายว่าให้เข้าถึงหน้าหลัก หรือโฮมเพจ (home
page) ของเว็บเซิร์ฟเวอร์นั้น
ซึ่งโยทั่วไปเป็นการเข้าถึงชื่อไฟล์ที่กำหนดไว้ เช่น index.html, main.phpและ default.asp
ซึ่งโยทั่วไปเป็นการเข้าถึงชื่อไฟล์ที่กำหนดไว้ เช่น index.html, main.phpและ default.asp
การค้นหาผ่านเว็บ
-โปรแกรมค้นหา
หรือเสิร์ชเอนจิน (SEARCH ENGINES) ใช้ค้นหาสำหรับเว็บเพจที่ต้องการโดยระบุคำหลักหรือคำสำคัญ (KEYWORD) เพื่อนำไปค้นหาฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ซึ้งรวบรวมเว็บเพจต่างๆ ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นรายการเว็บเพจที่ประกอบด้วยคำหลักที่ระบุ
ช่วยให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลทุกประเภท หลากหลายรูปแบบ
เพื่อการศึกษาหรือเพื่อความบันเทิงได้อย่างรวดเร็ว
โปรแกรมค้นหาสามารถให้บริการข้อหาข้อมูลตามประเภท
หรือแหล่งของข้อมูล เช่น ค้นหาเฉพาะข้อมูลที่เป็นภาพ วีดิทัศน์ เสียง ข่าว แผ่นที่
หรือบล็อก
โปรแกรมข้อหาแต่ละโปรแกรมอาจใช้วิธีที่แตกต่างกันในการจัดอันดับความเกี่ยวข้องของเว็บเพจกับ
คำหลักที่ระบุ
โดยเว็บเพจที่มีความเกี่ยวข้องกับคำหลักมากที่สุดจะอยู่ในอันดับบนสุด
ตัวอย่างโปรแกรมค้นหา เช่น Ask AltaVista Bing Google และ yahoo
- ตัวการดำเนินการในกานค้นหา ให้การค้นหาข้อมูลด้วยโปรแกรมค้นหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้ใช้สามารถใช้ตัวดำเนินการในการค้นหา (search engine operators)ประกอบกับคำหลัก
จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ในการค้นหาที่ดียิ่งขึ้น
เว็บ 1.0 และเว็บ 2.0
เว็บ 1.0 (Web 1.0) เป็นเว็บในยุคแรกเริ่มที่มีลักษณะให้ข้อมูลแบบทางเดียว
ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงเว็บเพจในฐานะผู้บริโภคข้อมูลสารสนเทศตามที่ผู้สร้างได้ให้รายละเอียดไว้เพียงอย่างเดียวไม่ค่อยมีการปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัย
และมีรูปแบบใช้งานไม่หลากหลาย
ต่อมามรการพัฒนาเทคโนโลยีที่สนับสนุนในการใช้อินเทอร์เน็ต
ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเป็นส่วนหนึ่งของผู้ให้ข้อมูลในรูปแบบต่างๆที่ปรากฏบนเว็บเพจ
เช่น การโพสต์ข้อความ รูปภาพวีดิทัศน์ ความคิดเห็น การจัดลำดับ
ด้วยความแตกต่างที่พบได้เหล่านี้ จึงได้มีการเรียกเว็บประเภทนี้ว่าเว็บ 2.0
(Web 2.0)
ลักษณะเด่นที่พบในเว็บ 2.0 ที่แตกต่างจากในเว็บ 1.0 เช่น มีการสร้างเครือข่ายทางสังคมผ่านเว็บไซด์
มีการพัฒนาความร่วมมือแบบออนไลน์
มีหารแบ่งบันข้อมูลและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเห็นระหว่างผู้ใช้ผ่านอินเทอร์เน็ต
เว็บ 1.0 ผู้ใช้ทำได้เพียงแค่อ่าน
และเข้าชมเนื้อหาในเว็บไซต์ได้เพียงอย่างเดียว
เว็บ 2.0
ผู้ใช้ทั่วไปมามารถเป็นส่วนหนึ่งของผู้ให้ข้อมูลในรูปแบบต่างๆที่ปรากฏบนเว็บเพจ
เว็บ 3.0 ผู้ใช้จะระบุความต้องการในการค้นหาข้อมูลแล้วเว็บเชิงความหมายจะร่วมกัน
ประมวลผลดพื่อเสนอผลลัพธ์เป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้
ประมวลผลดพื่อเสนอผลลัพธ์เป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้
บริการบนอินเตอร์เน็ต
บริการอินเตอร์เน็ต
เป็นบริการเพื่อตอบสนองความต้องการในด้านการสื่อสารของ
ผู้ใช้ในรูปแบบต่างๆทั้งในระดับ บุคคล กลุ่ม และองค์กร ในปัจจุบัน มีการบริการอินเตอร์เน็ตเป็นช่องทางในการแบ่งปันความคิด ข้อมูล สารสนเทศ รวมถึงความรู้โดยอาศัยเครื่องมือ เทคโนโลยีในการบริการต่างๆบนอินเตอร์เน็ต
ผู้ใช้ในรูปแบบต่างๆทั้งในระดับ บุคคล กลุ่ม และองค์กร ในปัจจุบัน มีการบริการอินเตอร์เน็ตเป็นช่องทางในการแบ่งปันความคิด ข้อมูล สารสนเทศ รวมถึงความรู้โดยอาศัยเครื่องมือ เทคโนโลยีในการบริการต่างๆบนอินเตอร์เน็ต
ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีเมลล์ (E-maill)
บริการรับส่งจดหมายในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ โดยสามารถส่งได้ทั้งข้อความ และไฟล์ต่างๆ ซึ่งผู้รับและผู้ส่งต้องมีที่อยู่อีเมล (E-maill Add Ress) เพื่อระบุตัวตนบนเครือข่าย เปรียบเสมือนเป็นที่อยู่ที่ใช้รับและส่งจดหมาย
บริการรับส่งจดหมายในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ โดยสามารถส่งได้ทั้งข้อความ และไฟล์ต่างๆ ซึ่งผู้รับและผู้ส่งต้องมีที่อยู่อีเมล (E-maill Add Ress) เพื่อระบุตัวตนบนเครือข่าย เปรียบเสมือนเป็นที่อยู่ที่ใช้รับและส่งจดหมาย
มารยาทของการสื่อสารผ่านอีเมล์
1. ใช้หัวเรื่องที่สรุปสาระสำคัญของเนื้อหาในอีเมลล์
2. เขียนเนื้อหาให้มีสาระในการสื่อสารที่ชัดเจน
3. เขียนข้อความให้กระชับ ไม่เยิ่นเย้อ เหมาะสมกับกาลเทศะ และลงชื่อผู้เขียนทุกครั้ง
4. ใช้ bcc ในการระบุผู้รับ เมื่อส่งข้อความถึงผู้รับจำนวนมาก เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้รับที่ระบุใน bcc
5. อย่าใช้อักษรภาษอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ ซึ่งแสดงถึงการตะโกน หรือการข่มขู่ผู้อ่าน
6. จัดระเบียบข้อความเป็นย่อหน้าเพื่อสะดวกต่อการอ่าน
7. ใช้ภาษาที่เหมาะสมและตัวสะกดที่ถูกต้อง
8. ใช้การตอบกลับ (reply) แทนการเขียน (compose) ข้อความใหม่ เพื่อให้สามารถติดตามเรื่องราวของอีเมลที่เกี่ยวข้องกันได้สะดวก
1. ใช้หัวเรื่องที่สรุปสาระสำคัญของเนื้อหาในอีเมลล์
2. เขียนเนื้อหาให้มีสาระในการสื่อสารที่ชัดเจน
3. เขียนข้อความให้กระชับ ไม่เยิ่นเย้อ เหมาะสมกับกาลเทศะ และลงชื่อผู้เขียนทุกครั้ง
4. ใช้ bcc ในการระบุผู้รับ เมื่อส่งข้อความถึงผู้รับจำนวนมาก เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้รับที่ระบุใน bcc
5. อย่าใช้อักษรภาษอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ ซึ่งแสดงถึงการตะโกน หรือการข่มขู่ผู้อ่าน
6. จัดระเบียบข้อความเป็นย่อหน้าเพื่อสะดวกต่อการอ่าน
7. ใช้ภาษาที่เหมาะสมและตัวสะกดที่ถูกต้อง
8. ใช้การตอบกลับ (reply) แทนการเขียน (compose) ข้อความใหม่ เพื่อให้สามารถติดตามเรื่องราวของอีเมลที่เกี่ยวข้องกันได้สะดวก
9. ใช้การตอบกลับไปยังทุกคน (reply all) เมื่อจำเป็น
เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องในการตอบอีเมลล์นั้น10. ใช้อักษรตัวย่อ
หรือสัญรูปอารมณ์ที่ไม่ฟุ่มเฟือยจนเกินไป และคาดหวังว่าผู้รับสามารถเข้าใจได้
การสื่อสารในเวลาจริง
(Real
Time Communication)
เป็นการสื่อสาร
ระหว่างบุคคลที่สามารถโต้ตอบกลับได้ทันทีผ่านเครือข่ายการสื่อสาร
สามารถส่งเป็นข้อความภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียง ไปยังผู้รับ ในการสื่อสารนี้ผู้ใช้ต้องเข้าใช้ระบบในขณะเดียวกันและข้อความจะถูกส่งจากผู้ใช้หนึ่งไปยังผู้ใช้หนึ่งทุกคนในกลุ่มได้
ตัวอย่างการสื่อสารในเวลาจริง เช่น การแชท ห้องคุย และ
วอยซ์โอเวอร์ไอพี
- แชท
(Chat) เป็นการสนทนาผ่านอินเตอร์เน็ต
ทั้งระหว่างบุคคล หรือ ระหว่างกลุ่มบุคคล โดยอาศัยโปรแกรมประยุกต์ เช่น windows
live และ yahoo messenger ตัวอย่าง
โปรแกรมแชท
โปรแกรมแชท
-ห้องคุย (Chat
Room) เป็นการสนทนาผู้ใช้สามารถเลือกประเภทของหัวข้อที่สนใจซึ่งแบ่งไว้เป็นห้องต่างๆ
เพื่อพูดคุยกันระหว่างบุคคลหรือเป็นกลุ่ม การสนทนารูปแบบนี้อำนวยความสะดวก
เพิ่มประสิทธิภาพ และช่วยประหยัดเวลาการสื่อสารข้อความไปยังบุคคลต่างๆ โดยอาจ
จะสื่อสารในรูปแบบข้อความ การแบ่งปันไฟล์ หรือ
การใช้เว็บแคมควบคู่กันไประหว่างการสื่อสาร ตัวอย่างห้องคุย เช่น CHATABLANCA
- วอยซ์โอเวอร์ไอพี
หรือวีโอไอพี (Voice Over IP : VoIP) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อินเทอร์เน็ตเทเลโฟนี (Internet telephony) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถคุยกับผู้อื่นผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยวอยซ์โอเวอร์ไอพีในอินเทอร์เน็ตในการเชื่อมต่อเข้ากับคู่สนทนาที่อาจอยู่ในพื้นที่เดียวกันหรือพื้นที่ห่างไกลออกไป
โดยเสียงของผู้พูดจะถูกแปลงให้อยู่ในรูปสัญญาณดิจิทัลแล้วส่งผ่านอินเทอร์เน็ตไปถึงผู้รับปลายทาง
เว็บไซต์เครือข่ายทางสังคม (social networking Web sites)
เป็นชุมชนออนไลน์ที่สมาชิกในชุมชนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน โดยเป้าหมายใน
การเป็นจุดเชื่อมโยงเชื่อมโยงระหว่างผู้ใช้ โดยอาจเชื่อมโยงผ่านกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งผู้ใช้มีความสนใจร่วมกัน เช่น การแบ่งปันวีดิทัศน์ การเล่าสู่กันฟังถึงประสบการณ์ที่ได้รับ
การแสดงความรู้สึกหรือความคิดเห็น การทำความรู้จักกัน การมีส่วนร่วมในการอภิปราย และการรวบรวมกลุ่ม เพื่อทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ หรือให้ข้อมูลทั่วไป ข้อมูลเชิงวิชาการ
ข้อมูลในการประกอบอาชีพ เช่น facebook, myspace, Linkedin, hi5 และ GotoKnow
บล็อก (blog)
เป็นระบบการบันทึกข้อมูลลำดับเหตุการณ์ในแต่ละวัน
ประสบการณ์ความคิดของผู้เขียนบล็อกผ่านเว็บไซต์ ในรูปแบบการนำเสนอหัวข้อ
ซึ่งผู้อื่นสามารถอ่านและแสดงความคิดเห็นได้
รายการหัวข้อที่ปรากฏในบล็อกมักจะเรียงลำดับหัวข้อที่นำเสนอล่าสุดไว้ที่ส่วนบนคำว่า
“บล็อก” มาจากคำว่า “เว็บล็อก (web
log)” เนื่องจากข้อมูลที่ปรากฏมีลักษณะเป็นการบันทึกข้อมูลผ่านเว็บที่มีการระบุวันเวลารวมถึงผู้บันทึกข้อมูลแต่ละหัวข้อไว้
หัวข้อข้อมูลหรือความเห็นที่ถูกนำเสนอในบล็อกอาจจัดทำโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่เป็นเจ้าของบล็อก
หรือบุคคลที่มีความสนใจร่วมกัน
หรือมีความเชี่ยวชาญเฉพาะเหมือนกันจนเกิดชุมชนในบล็อกขึ้น
ข้อมูลและความเห็นสามารถนำเสนอในรูปของข้อความ ภาพ หรือ มัลติมิเดียได้ เช่น Blogger,
GooggleBlog และ BLOGGANG
ไมโครบล็อก (microblog)
เป็นบล็อกที่มีการแสดงหัวข้อและความคิดเห็นที่กระชับ
กะทัดรัด
ผู้ใช้ที่เป็นสมาชิกสามารถเลือกหัวข้อจากบล็อกอื่นให้มาปรากฏในไมโครบล็อกของตนเอง
หรือเลือกตามสมาชิกอื่นได้ ตัวอย่างไมโครบล็อก เช่น twitter , yammer , Jaiku
และ tumblr
วิกิ (wiki )
เป็นรูปแบบการเผยแพร่ข้อมูลที่บุคคลต่างๆ
ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญเฉพาะเรื่อง
สามารถมีส่วนร่วมในการเป็นผู้ให้ข้อมูลใหม่
หรือเป็นผู้ปรับปรุงข้อมูลที่มีอยู่เดิมให้ถูกต้องและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
รายละเอียดของข้อมูลที่เผยแพร่ก่อให้เกิดประโยชน์กับบุคคลทั่วไป หรือกลุ่มบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เช่น
ผู้สอนและผู้เรียนสมารถใช้เป็นช่องทางในการสื่อสารข้อมูลที่เกี่ยวกับการเรียนการสอน
องค์กรธุรกิจสามารถใช้เป็นที่รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวกับการดำเนินการสำหรับให้บุคคลในองค์กรใช้อ้างอิงในการปฏิบัติงาน
ผู้ใช้สามารถเรียกดูประวัติการปรับปรุงข้อมูลย้อนหลังได้
ดังนั้นวิกิจึงเหมาะสำหรับการเก็บรวบรวมรายละเอียดของเอกสารที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ
ตัวอย่างวิกิ เช่น Wiki pedia , WIKIBOOKS
อาร์เอสเอส (Really
Simple Syndication: RSS )
เป็นเทคโนโลยีที่ใช้สำหรับเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เป็นประจำได้แบบอัตโนมัติ โดยผู้ใช้ต้องขอรับบริการ (subscribe) ผู้ใช้ไม่ต้องเข้าไปยังเว็บไซต์ที่สนใจต่างๆโดยตรง เพื่ออ่านข้อมูลที่ได้รับการปรับปรุงในแต่ละวันด้วยตนเองทีละเว็บไซต์ ซึ่งแต่ละเว็บไซต์อาจมีความถี่ในการปรับปรุงข้อมูลแตกต่างกันไป ผู้ใช้สามารถรับข้อมูลที่มีการให้บริการเผยแพร่แบบอัตโนมัตินี้ โดยคลิกปุ่มสัญลักษณ์ หรือ RSS หรือ XML ที่ปรากฏบนหน้าเว็บ แล้วคลิกที่ปุ่มสัญลักษณ์ดังกล่าว เพื่อรวบรวมแหล่งข้อมูลที่ขอรับบริการไว้เป็นสัดส่วนที่สะดวกการเข้าถึง โดยมีอาร์เอสเอสรีดเดอร์ (RSS reader) หรือ ฟีดรีดเดอร์ (Feed reader) หรือคอนเทนท์ แอกกรีเกเตอร์(content aggregator) ทำหน้าที่คอยติดตามการปรับปรุงของข้อมูลที่ได้รับบริการไว้ ทำให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมไปยังข้อมูลที่เผยแพร่ได้มีการปรับปรุงให้ทันสมัยได้โดยตรง ช่วยประหยัดเวลาในการเข้าถึงข้อมูล สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ที่สนใจที่มีอยู่มากมายได้อย่างครบถ้วน
เป็นเทคโนโลยีที่ใช้สำหรับเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เป็นประจำได้แบบอัตโนมัติ โดยผู้ใช้ต้องขอรับบริการ (subscribe) ผู้ใช้ไม่ต้องเข้าไปยังเว็บไซต์ที่สนใจต่างๆโดยตรง เพื่ออ่านข้อมูลที่ได้รับการปรับปรุงในแต่ละวันด้วยตนเองทีละเว็บไซต์ ซึ่งแต่ละเว็บไซต์อาจมีความถี่ในการปรับปรุงข้อมูลแตกต่างกันไป ผู้ใช้สามารถรับข้อมูลที่มีการให้บริการเผยแพร่แบบอัตโนมัตินี้ โดยคลิกปุ่มสัญลักษณ์ หรือ RSS หรือ XML ที่ปรากฏบนหน้าเว็บ แล้วคลิกที่ปุ่มสัญลักษณ์ดังกล่าว เพื่อรวบรวมแหล่งข้อมูลที่ขอรับบริการไว้เป็นสัดส่วนที่สะดวกการเข้าถึง โดยมีอาร์เอสเอสรีดเดอร์ (RSS reader) หรือ ฟีดรีดเดอร์ (Feed reader) หรือคอนเทนท์ แอกกรีเกเตอร์(content aggregator) ทำหน้าที่คอยติดตามการปรับปรุงของข้อมูลที่ได้รับบริการไว้ ทำให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมไปยังข้อมูลที่เผยแพร่ได้มีการปรับปรุงให้ทันสมัยได้โดยตรง ช่วยประหยัดเวลาในการเข้าถึงข้อมูล สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ที่สนใจที่มีอยู่มากมายได้อย่างครบถ้วน
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ( electronic commerce หรือ
e – commerce )
เป็นการทำธุรกรรมซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ต
โดยใช้เว็บไซด์เป็นสื่อในการนำเสนอสินค้าและบริการต่างๆ
รวมถึงการติดต่อกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ทำให้เข้าใช้บริการจากทุกที่ทุกประเทศ
หรือทุกมุมโลกสามารถเข้าถึงร้านค้าได้ง่ายและตลอด 24 ชั่วโมง ตัวอย่าง เช่น
ร้านขายหนังสือบนอินเทอร์เน็ตสามารถนำเสนอรายการและตัวอย่างหนังสือบนเว็บได้
มีระบบค้นหาหนังสือที่ลูกค้าต้องการ โดยดูตัวอย่างหนังสือก่อน
และถ้าต้องการสั่งซื้อ ก็สามารถสั่งซื้อได้โดยกรอกแบบฟอร์มการสั่งซื้อ
พร้อมทั้งเลือกวิธีการชำระเงินค่าหนังสือทีมีหลายรูปแบบ เช่น
ระบบการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต ระบบการโอนเงินผ่านธนาคาร
หรือระบบการนำส่งสินค้าแล้วจึงค่อยชำระเงิน ตัวอย่างการซื้อสินค้าบนอินเทอร์เน็ต
โปรแกรมไม่พึงประสงค์
ขณะใช้งานอินเทอร์เน็ต มักมีโปรแกรมที่ไม่พึงประสงค์แฝงมากับข้อมูลที่อยู่บนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โปรแกรมลักษณะนี้เรียกว่า มัลแวร์( malware ) เป็นโปรแกรมที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำลาย หรือ รบกวนระบบคอมพิวเตอร์ โดยแบ่งออกได้หลายชนิด เช่น
ขณะใช้งานอินเทอร์เน็ต มักมีโปรแกรมที่ไม่พึงประสงค์แฝงมากับข้อมูลที่อยู่บนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โปรแกรมลักษณะนี้เรียกว่า มัลแวร์( malware ) เป็นโปรแกรมที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำลาย หรือ รบกวนระบบคอมพิวเตอร์ โดยแบ่งออกได้หลายชนิด เช่น
- ไวรัส ( virus
)
เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เขียนขึ้นเพื่อสร้างความรำคาญให้กับผู้ใช้งานและอาจร้ายแรงถึงขั้นทำลายระบบคอมพิวเตอร์ให้เสียหายทั้งระบบ
โดยจะทำการแนบโปรแกรมแปลกปลอมเข้าไปกับโปรแกรมอื่น
แล้วแพร่กระจายตัวเองจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ได้
โดยผ่านสื่อบันทึกข้อมูล เช่น แผ่นบันทึก แฟลชไดรฟ์ หรือผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์
- เวิร์ม ( worm ) หรือหนอนคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมแปลกปลอมที่สามารถคัดลอกตัวเองแล้วส่งไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ได้ทันที โดยอาศัยการเจาะผ่านช่องโหว่ของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือ อินเทอร์เน็ตที่ไม่มีการป้องกันที่ดีพอ โดยจะเข้าไปกีดขวางการทำงานของระบบปฏิบัติการของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ช้าลง หรือ หยุดทำงาน
- เวิร์ม ( worm ) หรือหนอนคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมแปลกปลอมที่สามารถคัดลอกตัวเองแล้วส่งไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ได้ทันที โดยอาศัยการเจาะผ่านช่องโหว่ของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือ อินเทอร์เน็ตที่ไม่มีการป้องกันที่ดีพอ โดยจะเข้าไปกีดขวางการทำงานของระบบปฏิบัติการของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ช้าลง หรือ หยุดทำงาน
- ม้าโทรจัน
( trojan horse ) เป็นโปรแกรมแปลกปลอมที่ผ่านเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยการแอบแฝงตัวเองว่าเป็นโปรแกรมอื่น
เช่น การหลอกให้ผู้ใช้เข้าใจว่าเป็นโปรแกรมเกม หรือ โปรแกรมสกรีนเซิร์ฟเวอร์
ที่ให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดฟรีจากอินเทอร์เน็ต
เมื่อผู้ใช้งานดาวน์โหลดโปรแกรมนี้เข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว
อาจจะมีไวรัสซึ่งติดมากับม้าโทรจันนี้เข้าไปทำความเสียหายให้กับระบบคอมพิวเตอร์ได้
- สปายแวร์ ( spyware
)
เป็นโปรแกรมที่ถูกออกแบบมาให้คอยติดตาม บันทึกข้อมูลส่วนบุคคล
รายงานข้อมูลการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนบนอินเทอร์เน็ต หรือ
ทำการเปลี่ยนการตั้งค่าของโปรแกรมเบราว์เซอร์ใหม่ ซึ่งก่อให้เกิดความรำคาญ และ
ทำให้ประสิทธิภาพให้
การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ช้าลง เช่น คีย์ล๊อคเกอร์ ( key-logger) เป็นสปายแวร์ประเภทหนึ่งที่ทำหน้าที่บันทึกข้อมูลการกดแป้นคีย์บอร์ดของผู้ใช้ ข้อมูลที่จัดเก็บจะถูกส่งผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อใช้ก่ออาชญากรรมในรูปแบบต่างๆ ได้
การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ช้าลง เช่น คีย์ล๊อคเกอร์ ( key-logger) เป็นสปายแวร์ประเภทหนึ่งที่ทำหน้าที่บันทึกข้อมูลการกดแป้นคีย์บอร์ดของผู้ใช้ ข้อมูลที่จัดเก็บจะถูกส่งผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อใช้ก่ออาชญากรรมในรูปแบบต่างๆ ได้
- แอดแวร์ ( adware ) เป็นโปรแกรมแอบแฝงที่เมื่อโปรแกรมได้รับการดาวน์โหลดหรือมีการติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์เรียบร้อยแล้ว
จะแสดงหน้าต่าง ป๊อปอัพ ( pop – up ) ที่มี
การโฆษณาสินค้าออกมาเป็นระยะๆ โดยอัตโนมัติ
- สแปม ( spam ) เป็นการใช้ระบบส่งอีเมลในการส่งข้อความที่ไม่พึงประสงค์ ให้กับผู้ใช้เป็นจำนวนมาก สแปมที่พบบ่อย คือการส่งข้อความโฆษณาขายสินค้า บริการ ท่องเที่ยว ชักชวนประกอบอาชีพที่มีรายได้สูง ผ่านระบบอีเมลที่เรียกว่า เมลขยะ ( junk mail ) นอกจากนี้อาจมีการส่งผ่านสื่ออื่น เช่น การส่งสารทันที โทรศัพท์เคลื่อนที่ เกมออนไลน์ โปรแกรมค้นหา บล็อก หรือ วิกิ ซึ่งส่งผลให้เกิดการรบกวนการใช้สื่อสารเหล่านั้น
การโฆษณาสินค้าออกมาเป็นระยะๆ โดยอัตโนมัติ
- สแปม ( spam ) เป็นการใช้ระบบส่งอีเมลในการส่งข้อความที่ไม่พึงประสงค์ ให้กับผู้ใช้เป็นจำนวนมาก สแปมที่พบบ่อย คือการส่งข้อความโฆษณาขายสินค้า บริการ ท่องเที่ยว ชักชวนประกอบอาชีพที่มีรายได้สูง ผ่านระบบอีเมลที่เรียกว่า เมลขยะ ( junk mail ) นอกจากนี้อาจมีการส่งผ่านสื่ออื่น เช่น การส่งสารทันที โทรศัพท์เคลื่อนที่ เกมออนไลน์ โปรแกรมค้นหา บล็อก หรือ วิกิ ซึ่งส่งผลให้เกิดการรบกวนการใช้สื่อสารเหล่านั้น
ผลกระทบจากการใช้อินเตอร์เน็ต
บริการบนอินเทอร์เน็ตมีการพัฒนาให้มีรูปแบบการใช้งานที่หลากหลาย
ผู้ใช้สามารถเข้าถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างสะดวดและรวดเร็ว
สามารถใช้เป็นเครื่องมือใน
การแสวงหาความรู้ด้วยตนเองทั้งเพื่อการศึกษา การทำงาน ความบันเทิง หรือเพื่อตอบสนองความต้องการอื่นๆ สามารถช่วยลดช่องว่างและเพิ่มโอกาสให้การเรียนรู้ให้กับผู้ที่อยู่ในถิ่นห่างไกล ผู้พิการ ผู้สูงอายุ ช่วยให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในเชิงวิชาการ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากสังคมแบบเดิมที่เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มบุคคลที่มีความใกล้ชิดกันในเชิงภูมิศาสตร์ให้หมู่บ้าน เมือง ประเทศ หรือภูมิภาคเดียวกัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นสังคมใหม่เรียกว่า สังคมในโลกไซเบอร์ ซึ่งเป็นสังคมเสมือนที่เกิดจากการรวมตัวกันของบุคคลที่มีความสนใจ มีความสัมพันธ์ระหว่างกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยไม่คำนึงถึงระยะทางและเวลาที่แตกต่างกัน
การแสวงหาความรู้ด้วยตนเองทั้งเพื่อการศึกษา การทำงาน ความบันเทิง หรือเพื่อตอบสนองความต้องการอื่นๆ สามารถช่วยลดช่องว่างและเพิ่มโอกาสให้การเรียนรู้ให้กับผู้ที่อยู่ในถิ่นห่างไกล ผู้พิการ ผู้สูงอายุ ช่วยให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในเชิงวิชาการ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากสังคมแบบเดิมที่เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มบุคคลที่มีความใกล้ชิดกันในเชิงภูมิศาสตร์ให้หมู่บ้าน เมือง ประเทศ หรือภูมิภาคเดียวกัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นสังคมใหม่เรียกว่า สังคมในโลกไซเบอร์ ซึ่งเป็นสังคมเสมือนที่เกิดจากการรวมตัวกันของบุคคลที่มีความสนใจ มีความสัมพันธ์ระหว่างกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยไม่คำนึงถึงระยะทางและเวลาที่แตกต่างกัน
เนื่องจากสมาชิกของโลกไซเบอร์สามารถสร้างตัวตนใหม่ที่อาจมีบุคลิก
นิสัย รูปลักษณ์ หรือแม้แต่อายุที่แตกต่างไปจากตัวตนที่แท้จริง
ซึ่งอาจใช้อินเทอร์เน็ตในทางที่ผิด ทำให้เกิดปัญหาในด้านต่างๆ เช่น
1.ปัญหาสุขภาพและความสัมพันธ์ทางครอบครัว
ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตติดต่อกันเป็นเวลานานมากเกินไปอาจก่อให้เกิดปัญหาโรคติดอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นอาการทางจิตประเภทหนึ่ง
มีอาการที่ต้องสงสัย เช่น
มีความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตต่อเนื่องกันเป็นเวลานานเรื่อยๆ รู้สึกหงุดหงิด หดหู่
กระวนกระวายเมื่อใช้อินเทอร์เน็ตน้อยลง หรือ หยุดใช้
คิดว่าเมื่อได้ใช้อินเทอร์เน็ตแล้วจะทำให้รู้สึกดีขึ้น
แต่โดยความเป็นจริงแล้วการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเวลานานก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย
เช่น ปวดเมื่อยตามตัว ข้อมือ และเหนื่อยล้าทางสายตา
นอกจากนี้ยังทำให้ความสัมพันธ์กับบุคคลในครอบครัว เพื่อน
หรือการพบปะผู้คนในสังคมลดน้อยลง
2.ปัญหาอาชญากรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางในการก่ออาชญากรรมหลายรูปแบบ เช่น
- เจาะระบบรักษาความปลอดภัย ให้สามารถเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์
เพื่อกระทำการใดๆ กับระบบคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ หรือข้อมูลที่มิชอบต่างๆ
อาจทำให้เกิดความเสียหายในเชิงธุรกิจ การบิดเบือนข้อเท็จจริง
- ขโมยข้อมูลส่วนตัว โดยการใช้ช่องทางสื่อสารหรืออินเทอร์เน็ต เช่น การแชท
การโทรศัพท์ ในการได้มาซึ่งข้อมูลส่วนตัวของบุคคล โดยการปลอมแปลงเป็นผู้ดูแลระบบ หรือผู้ดูแลข้อมูล เป็นบุคคลใกล้ชิด หรือสร้างสถานการณ์ฉุกเฉินที่เสมือนจริง เพื่อหลอกล่อให้เหยื่อเกิดความไว้ใจ หรือหลงเชื่อ และเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
- ขโมยข้อมูลส่วนตัว โดยการใช้ช่องทางสื่อสารหรืออินเทอร์เน็ต เช่น การแชท
การโทรศัพท์ ในการได้มาซึ่งข้อมูลส่วนตัวของบุคคล โดยการปลอมแปลงเป็นผู้ดูแลระบบ หรือผู้ดูแลข้อมูล เป็นบุคคลใกล้ชิด หรือสร้างสถานการณ์ฉุกเฉินที่เสมือนจริง เพื่อหลอกล่อให้เหยื่อเกิดความไว้ใจ หรือหลงเชื่อ และเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
วิธีการหลอกลวงเพื่อเจตนาขโมยข้อมูลส่วนบุคคลอีกวิธีหนึ่ง
คือ การส่งอีเมลล์ถึงผู้รับที่มีข้อความ เช่น รหัสผ่าน ข้อมูลทางการเงิน
ไปใช้ในการเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นโดยมิชอบ
หรือนำข้อมูลไปขายให้กับผู้ก่ออาชญากรรมอื่น โดยผู้ใช้อาจถูกหลอกให้ตอบกลับอีเมลล์พร้อมข้อมูลส่วนตัว
หลอกให้คลิกบนยูอาร์แอลในอีเมลล์ หรือ หน้าต่าง ป๊อปอัพ
ซึ่งเชื่อมโยงไปยังหน้าเว็บที่ถูกสร้างให้ดูเหมือนเว็บจริงของหน่วยงาน หรือ ธนาคาร
และให้ข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่รู้ตัว
- เผยแพร่ภาพอนาจาร
การเผยแพร่ภาพอนาจารต่างๆ
โดยใช้วิธีการที่หลากหลาย
เช่น ผ่านเกมส์ออนไลน์
ผ่านการสร้างไฟล์ไวรัสเจาะเข้ามาที่ระบบคอมพิวเตอร์
เมื่อผู้ใช้เปิดอินเทอร์เน็ตไฟล์ไวรัสจะแสดงภาพอนาจารต่างๆ หรือผ่านโปรแกรมค้นหา
โดยการตั้งคำหลักที่หลากหลายให้กับภาพอนาจาร
เมื่อผู้ใช้ค้นหาด้วยคำหลักที่ตรงกับที่ได้ตั้งไว้ก็จะปรากฏภาพอนาจารในผลที่ได้จากการสืบค้นข้อมูล3. ปัญหาการล่อลวงในสังคม
จากการทีผู้ใช้งานในอินเทอร์เน็ตบางคน สร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ในการติดต่อสนทนากับผู้อื่น
โดยให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ เช่น เพศ อายุ ภาพถ่าย และอาชีพ
เพื่อล่อลวงให้คู่สนทนาสนใจตัวตนใหม่ และนัดพบเพื่อการกระทำอันตรายต่างๆ
จนเกิดปัญหาร้ายแรงต่อทรัพย์สินหรือต่อตนเอง
เพื่อให้การใช้ชีวิตในโลกไซเบอร์เป็นไปอย่างสร้างสรรค์
สร้างประโยชน์ให้แก่สังคม มีความปลอดภัยในการดำเนินชีวิต
ผู้ใช้ควรเลือกแสวงหาความรู้และใช้อินเทอร์เน็ตอย่างรู้เท่าทัน และมีวิจารณญาณ
รู้จักแยกแยะสิ่งถูกและผิด มีความหนักแน่นในศีลธรรม
ไม่ลุ่มหลงไปกับสิ่งยั่วยวนใจในรูปแบบต่างๆ
รวมถึงการเรียนรู้เกี่ยวกับภัยอันตรายหรือผลเสียที่อาจได้รับ
เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเกิดเหตุ
และใช้งานอินเทอร์เน็ตโดยความเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ทำให้เกิดสังคมและการใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นไปอย่างมีความสุข
บัญญัติ 10
ประการในการใช้งานคอมพิวเตอร์
1. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น เช่น
ไม่ควรโพสต์ข้อความกล่าวหาบุคคลอื่นในเว็บบอร์ดให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย
ไม่ควรโพสต์รูปอนาจาร
2. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์รบกวนผู้อื่น เช่น
เปิดฟังเพลงด้วยคอมพิวเตอร์ หรือ เล่นเกมรบกวนผู้อื่นที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
3. ต้องไม่เปิดดูไฟล์ของผู้อื่นก่อนได้รับอนุญาต
เช่น แอบเปิดอ่านอีเมลของเพื่อน
4. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ในการโจรกรรมข้อมูล
ข่าวสาร เช่น การแอบเจาะระบบเพื่อขโมยข้อมูลการค้าของบริษัท
ขโมยรหัสผ่านบัตรเครดิต
5. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานเท็จ
เช่น การแอบเจาะระบบเพื่อเปลี่ยนแปลงคะแนน
6. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ในการคัดลอก หรือ
ใช้โปรแกรมที่มีลิขสิทธิ์โดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น
ดาวน์โหลดโปรแกรมที่มีลิขสิทธิ์มาใช้ โดยมีโปรแกรมแก้ไขเพื่อให้ใช้งานได้
7. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ในการ
ละเมิดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ์ เช่น ไม่ใช้คอมพิวเตอร์
หรือ ไม่ใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้รับสิทธิ์ในการเข้าใช้
8. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อนำเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง
9. ต้องคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดจากโปรแกรมที่ตัวเองพัฒนาขึ้น
10. ต้องใช้คอมพิวเตอร์ โดยเคารพกฎ ระเบียบ
กติกา และมารยาทของสังคมนั้น